การเสียเปรียบดุลการค้ากับจีนแบบมโหฬาร…ถึงเวลาที่ต้องแก้ไขอย่างจริงจัง
บทความวิชาการ : การเสียเปรียบดุลการค้ากับจีนแบบมโหฬาร…ถึงเวลาที่ต้องแก้ไขอย่างจริงจัง โดย ดร.ธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย วันที่ 29 พฤษภาคม 2568 บริบทไทยพึ่งพาการค้าระหว่างประเทศในระดับที่สูงทั้งด้านส่งออก-นำเข้า-การท่องเที่ยว-ตลาดเงินและตลาดทุนโดยเฉพาะกับประเทศสหรัฐอเมริกาและจีนเป็นตลาดส่งออกหลักแค่ 2 ประเทศ มีสัดส่วนรวมกันร้อยละ 30 ของการส่งออกทั้งหมด ประเทศทั้งสองเป็นมหาอำนาจทั้งด้านเศรษฐกิจและซุปเปอร์พาวเวอร์ เป็นลูกค้ารายใหญ่แถมไม่ค่อยชอบขี้หน้ากันทำให้ไทยแทบไม่มีปฏิสัมพันธ์เชิงอำนาจในการต่อรองด้านการค้าและถูกกดดันให้เลือกข้าง ภายใต้สงครามการค้าของศตวรรษที่ 21 ซึ่งไทยต้องพึ่งพาประเทศมหาอำนาจซึ่งต่างสร้างเงื่อนไขเพื่อให้ตนเองได้ประโยชน์สูงสุด การผลักดันขับเคลื่อนส่งออกบนความไม่สมดุลของการเมืองระหว่างประเทศที่ต่างชิงดีชิงเด่นเป็นเรื่องที่ยากละลงตัว กรณีที่เห็นชัดเจน เช่น การเสียเปรียบดุลการค้ากับจีนอย่างมโหฬารและต่อเนื่องเป็นเวลายาวนานยังไม่รวมสินค้าจีนราคาถูกเข้ามาแย่งตลาดทั้งด้าน Offline และ Online กระทบต่อการผลิตและการจ้างงาน ตามด้วยการหลั่งไหลของคนจีนและทุนจีนที่เข้ามาแย่งอาชีพคนไทยทำธุรกิจทั้งสีขาวและ/หรือสีเทาเป็นภาพที่เห็นอยู่ชินตาและทำอะไรไม่ได้ ขณะที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นเหรียญที่กลับด้านไทยส่งออกได้ดุลการค้าต่อเนื่องมาหลายสิบปี เดือนเมษายนที่ผ่านมาประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศนโยบายภาษีตอบโต้ขาดดุลการค้า (Reciprocal Tariffs) ไทยถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าอัตราร้อยละ 36 คงไม่มีทางเลือกต้องประเคนเงื่อนไขดีๆ ให้สหรัฐฯ พอใจแต่การเจรจายังไปไม่ถึงไหนเพราะยังไม่ได้บัตรคิวเข้าพบ ภายใต้กระแสการค้าระหว่างประเทศภายใต้ “Trump Trade War” ที่ตั้งภาษีนำเข้าในอัตราสูงแก่ประเทศต่างๆ ขณะเดียวกันกดดันสร้างข้อตกลงให้เพิ่มการส่งออกไปประเทศเหล่านั้นมากขึ้น เสมือนเป็นการย้อนกลับไปสู่ยุคพาณิชย์นิยม (Mercantilism) ที่แต่ละประเทศเน้นผลักดันส่งออกมากกว่าการนำเข้าเพื่อที่จะได้เปรียบดุลการค้านำไปสู่การขยายตัวทางเศรษฐกิจ รายงานฉบับนี้นำเสนอกรณีศึกษาประเทศสหรัฐฯ และประเทศจีน กรณีศึกษาประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นประเทศที่ไทยได้เปรียบดุลการค้าต่อเนื่องมาหลายสิบปี…